About Me

My photo
ร้านค้าปลีก ~เจ้าป้าช็อป~ จำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูปทุกเพศทุกวัย

Sunday, April 28, 2013

อันตรายของชุดชั้นในแบบโครงลวด


อันตรายของชุดชั้นในแบบโครงลวด



 สำหรับสาวที่พิสมัยการมีหน้าอกที่เต่งตึงได้รูป และไม่หย่อนคล้อย หลายคนหันหน้าเข้าหาชุดชั้นในแบบที่มีโครงลวด เพื่อปรับทรงหน้าอกให้สวยงามตามต้องการ ขอเตือนว่า อันตรายจากชุดชั้นในชนิดนี้มิได้มีเพียงแค่อาการเจ็บจากการถูกกดรัดเท่านั้น ยังมีอันตรายในแบบอื่น ๆ ที่มีผลต่อสุขภาพของคุณโดยตรงอีกด้วย


     ดังนั้น...มาดูกันซิว่า เพื่อให้หน้าอกของคุณสวย คุณต้องแลกกับอะไรกันบ้าง

   1. ด้วยการบีบรัดของชุดชั้นในชนิดนี้ ทำให้ระบบย่อยอาหารของคุณมีปัญหา เมื่อทานอาหารเข้าไป การบีบรัดที่มีผลทำให้หลอดอาหารตีบก็จะทำให้คุณกลืนอาหารลำบาก และอาหารก็ไม่สามารถย่อยได้ง่ายตามที่มันควรจะเป็น

    2. ด้วยการบีบรัดของชุดชั้นในชนิดนี้ ทำให้ร่างกายทำการปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมา ซึ่งส่งผลให้คุณสูญเสียพลังงานอย่างรวดเร็ว จะเหนื่อยง่ายและรู้สึกไม่มีแรง

    3. ด้วยการบีบรัดของชุดชั้นในชนิดนี้ ทำให้โครงลวดนั้นขัดขวางการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับสารพิษในเต้านม

    4. ด้วยการบีบรัดของชุดชั้นในชนิดนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของซี่โครงและกระบังลมมีปัญหาส่งผลทำให้คุณหายใจหอบอยู่บ่อยครั้ง และสมรรถภาพของหัวใจกับปอดจะเสื่อมลงอย่างช้าๆ

อันตรายจากการเลือกชุดชั้นในผิดวิธี


คุณผู้หญิงหลายๆคนมีพฤติกรรมในการเลือกชุดชั้นในแบบนี้  ทำให้มีผลกระทบตามมาต่อสุขภาพ  ไปดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ทำแล้วส่งผลให้สุขภาพโดยรวมแย่ลง

      1. สายบราที่รัดตึงเกินไปจะทำให้ปวดศีรษะ ไหล่ หลัง คอ และเป็นจุดเริ่มต้นของการปวดหัวเรื้อรัง หรือไมเกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อช่วงไหล่ถูกดึงรั้ง จนเลือดบริเวณนั้นไหลเวียนไม่สะดวก

      2. บราไซส์เล็กเกินไป ทำให้เกิดภาวะเครียดต่อระบบกล้ามเนื้อระบบหายใจ และระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เหนื่อยง่าย บางรายมีอาการเจ็บหน้าอกเรื้อรัง

      3. จากการศึกษาเรื่อง Bra and Breast Cancer Study ที่สหรัฐอเมริกา พบว่าการใส่บราที่รัดแน่นต่อเนื่องเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เพราะแรงกดทำให้เกิดการคั่งของเลือดและน้ำเหลือง และเกิดเป็นก้อนเนื้อที่บริเวณหน้าอก ซึ่งอาจกลายเป็นเนื้อร้ายในเวลาต่อมา

      4. ควรเลือกขนาดของบราให้เหมาะสมกับบรากาวที่เสริมเข้าไป ก่อนใช้ควรทำความสะอาดผิวบริเวณที่สวมใส่ให้แห้ง และไม่ควรทาโลชั่น น้ำหอม แป้ง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใด ๆ ถึงแม้ศูนย์ Women’s Health Boutique สหรัฐอเมริกา เชื่อว่าการใช้บรากาวปลอดภัยและไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้าเกิดการระคายเคืองหรือคันบริเวณเต้านม ควรให้เลิกใช้ทันที หลังใช้ควรทำความสะอาดบราด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับน้ำ ด้านที่เป็นกาว นำไปผึ่งในที่ร่มจนแห้งสนิท แล้วจึงเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติ

      5. การสวมสเตย์รัดหน้าท้องนาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรงปวดหลังเป็นประจำ หรือปวดหลังเรื้อรัง เวลานั่ง ยืน หรือเดินอวัยวะภายในช่องท้องทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากแรงบีบรัดของสเตย์ อวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กระเพาะอาหาร ลำไส้ ระบบขับถ่ายที่ทำให้ท้องผูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือดอุดตัน ทำให้เกิดความเครียด ระบบย่อยอาหารที่เป็นอุปสรรคต่อการย่อย จนเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นแผล

       6. การใส่จีสตริงที่มีขนาดเล็ก หรือสายรัดตึงเกินไป ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อบริเวณง่ามก้น หรือเกิดการเสียดสีจนอาจเป็นแผลผิวหนังถลอก หรืออักเสบที่บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนักได้ หากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ สายของจีสตริงจะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียบริเวณรอบทวารหนักชื่อ Gardinerella Vaginalis เป็นเหตุให้แบคทีเรียดังกล่าวแพร่เข้าสู่ช่องคลอด เกิดปัญหาการติดเชื้อ มีอาการตกขาว กลิ่นเหม็น และคันที่บริเวณอวัยวะเพศ

     7. อย่าใส่ซ้ำ หรือรีบเปลี่ยนชุดชั้นในที่อับชื้นทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อและราที่อาจทำให้เกิดโรคผื่นคันหรือสังคัง ซึ่งเกิดได้ทั้งในผิวหนังบริเวณเร้นลับทั้งของผู้ชายและผู้หญิง สาเหตุของสังคังเกิดจากเชื้อราลุกลามเป็นวงกว้าง ในเซลล์ที่ตายแล้วบริเวณขาหนีบซึ่งเป็นมุมอับ เมื่ออากาศระบายเข้า-ออกไม่ดีทำให้เกิดการหมักหมม เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีอาการคันบริเวณขาหนีบ ให้รีบไปหาหมอเพื่อทำการรักษา การป้องกัน และการรักษาที่ดีที่สุดคือ รักษาความสะอาดของร่างกายโดยอาบน้ำทุกวัน วันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย หลังอาบน้ำเสร็จแล้วเช็ดตัวให้แห้ง อย่าให้ร่างกายมีความอับชื้นโดยเฉพาะที่ขาหนีบ

       8. ควรหมั่นทำความสะอาดชุดชั้นในให้ปลอดเชื้อราเสมอ ๆ เริ่มจากแยกชุดชั้นในออกจากชุดชั้นนอกและแยกสีเข้ม สีอ่อน ซักด้วยน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกละลายในน้ำธรรมดา ไม่ควรใช้สารฟอกขาวทุกชนิด ไม่ควรขยี้หรือใช้แปรงขัดชุดชั้นในแรง ๆ (โดยเฉพาะยกทรง) เพราะจะทำให้เสียรูปทรงได้ง่าย ในบริเวณที่มีคราบสกปรกให้ใช้แปรงขนนุ่ม ๆ ถูเบาๆ ให้สะอาด จากนั้นให้ล้างชุดชั้นในด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง ไม่ควรบิดยกทรงโดยเฉพาะแบบมีโครง ควรบีบเบา ๆ เพื่อให้น้ำออก ตากในที่ร่ม มีลมโกรก ไม่ควรตากชุดชั้นในทุกชนิดให้ถูกแสงแดดโดยตรงเพราะจะทำให้เนื้อผ้าและสีเสื่อมสภาพเร็ว

เสื้อชั้นใน มีเทคนิคการเลือกซื้อยังไง?!!




ใครที่กำลังจะซื้อเสื้อชั้นในใหม่ วันนี้เรามีเคล็ดลับในการเลือกซื้อมาฝาก…




………..ลองเสื้อชั้นในก่อนซื้อทุกครั้ง เลือกตัวที่กระชับพอดี และ อย่าซื้อเสื้อชั้นในเพียงบอกไซส์ เพราะแต่ละแบบ แต่ละทรง จะออกแบบมาไม่เท่ากัน หรือไม่เหมาะกับทุกคน

+ การเลือกซื้อเสื้อชั้นในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน อาจจะได้ขนาดที่ใหญ่กว่าปกติ
+ เสื้อชั้นในที่พอดี ระดับตะขอ (หลัง) ควรอยู่ใต้กระดูกสะบักหลัง ถ้าสูงหรือต่ำลงมาควรเลือกขนาดใหม่
+ หากสวมเสื้อชั้นในแล้วไม่สามารถสอดนิ้วเข้าไปในร่องอกได้ แสดงว่าเสื้อตัวนั้นคับเกินไป
+ หากมีรอบอกระหว่าง 34-48 นิ้ว ควรเลือกซื้อชนิดที่มีฐานใต้โครงอก และเสื้อชั้นในแบบตะขอหน้า จะทำให้หน้าอกได้รูปสวย
+ สุดท้ายเลือกเสื้อชั้นในที่มีเนื้อนุ่ม ยืดหยุ่นสบาย

…………ครั้งหน้าถ้าจะซื้อเสื้อชั้นใหม่ อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปเลือกซื้อเสื้อชั้นในให้ถูกใจกันได้

ขอบคุณที่มาบทความจาก  www.healthcorners.com

Saturday, April 27, 2013

เลือก “บรา” ให้เหมาะกับทรง


     นอกเหนือจากเรื่องเสื้อผ้าแฟชั่น ที่สาวๆ ทั้งหลายสนุกกับการเลือกซื้อเลือกใส่กันอย่างไม่ยอมตกเทรนด์แล้ว แฟชั่น "บรา" สวยๆ เสน่ห์ของความ เซ็กซี่ที่ซ่อนอยู่ภายในก็เป็นแฟชั่นอีกอย่างหนึ่งที่สาวๆ ยุคนี้เค้าให้ความสำคัญ

      จะว่าไปเรื่องของ “ชุดชั้นใน” นี่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแต่งกายให้ดูดีเลยก็ว่าได้นะคะ เพราะว่าดีไซน์ของเสื้อผ้าสมัยนี้ เค้ามักจะออกแบบมา ให้เน้นสัดส่วนของเรามากขึ้น ไม่ออกแบบให้เข้ารูปก็ออกแบบมาให้เราเผยผิววับแวมกันเป็นส่วนๆ เช่น เสื้อเว้าหน้า – เว้าหลัง , คอกว้าง , คว้านลึก ฯลฯ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้สาวๆ ให้ความสำคัญกับ “บรา” กันมากกว่าแต่ก่อนเพื่อให้สามารถสวมใส่เสื้อผ้าชั้นนอกได้สวยและมั่นใจ

     แต่เพราะ “บรา” ในแต่ละแบบได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับ “ทรง” ที่มีลักษณะแตกต่างกันของแต่ละคน ฉะนั้น การตัดสินใจเลือกซื้อบราในแต่ ละครั้งนั้น จึงไม่ใช่แค่เพียง "แบบ" หรือ “สี” ที่ถูกใจเพียงอย่างเดียวแล้วล่ะค่ะ

คัพ & ไซส์ 
     การเลือกซื้อหรือใส่บราที่ถูกต้อง เราควรรู้ขนาดของ คัพ (เนื้อรอบเต้านม) และ ไซส์ (ขนาดรอบตัว) ของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก มีวิธีการ คำนวณหา คัพ และ ไซส์ ของหน้าอกมาฝากกันดังนี้ค่ะ

วิธีการวัด
     1.ใส่บราที่มีขนาดพอดีกับหน้าอก
     2. Point 1: ใช้สายวัด วัดรอบหน้าอกช่วงที่กว้างที่สุด หรือ ปลายหัวนม หน่วยเป็นนิ้ว (inch)
     3. Point 2: ใช้สายวัด วัดรอบใต้อก หน่วยเป็นนิ้ว (inch)


วิธีคำนวณ
     1. นำค่าวัดรอบหน้าอก หักลบ ค่าวัดรอบใต้อก แล้วเทียบดูข้อมูลนี้
            1 inch = A cup
            2 inches = B cup
            3 inches = C cup
            4 inches = D cup
            5 inches = DD cup
            6 inches = E cup or DDD cup
            7 inches = F cup or DDDD cup
            8 inches = FF cup
            9 inches = G cup


2. นำค่าวัดรอบใต้อก บวก +5 จะได้ค่าขนาดของบรา
         ตัวอย่าง
                  วัดรอบหน้าอก 30 นิ้ว วัดรอบใต้อก 27 นิ้ว
                  30-27 = 3 –> C cup และ 27+5 = 32
                  ดังนั้น เลือกซื้อชุดชั้นในที่มีค่า 32 C cup
                  หรือประมาณ 70-75 Cm (หน่วยเป็นเซ็นติเมตร) นั่นเอง

                   กรณีค่าส่วนต่างเป็นเลขคี่ ให้ปัดขึ้น เนื่องจากขนาดของบรา มีเฉพาะเลขคู่ เช่น 32 C , 34 C , 36 C เป็นต้น

รูปทรงของหน้าอกกับการเลือกซื้อบราที่ถูกต้อง ตรวจสอบดูซิว่าหน้าอกของคุณมีรูปทรงแบบไหน
1.ทรงลูกเกด,เชอรี่ เป็นรูปทรงของเด็กที่เริ่มมีทรงเป็นส่วนใหญ่ ต้องเลือกบราที่ช่วยประคองทรง เช่นเสื้อใน First bra

2.ทรงเลมอน ส่วนใหญ่เป็นรูปทรงของวัยรุ่น จะมีเนื้อเนินอกน้อย ฐานทรงไม่กว้าง ควรเลือกใส่ บราที่ช่วยเสริม ทรงเพื่อให้ทรงอกดูอวบอิ่ม “รูปทรงแอ๊ปเปิ้ล” จะเป็นทรงที่สวยได้รูปอยู่แล้ว เพราะมีเนื้อเนินอก และเต้าทรง กลมได้รูป ไม่ว่าจะใส่เสื้อในสไตล์ไหนก็ดูสวย เพียงแต่ต้องเลือกให้ตรงขนาดคัพ & ไซส์ของเราแค่นั้นก็พอ

3.ทรงสตรอเบอรี่
 เต้าทรงเริ่มคล้อย ฐานทรงกว้างกว่าแบบเลมอน ส่วนใหญ่เป็นรูปทรงของวัยสาว ต้องเลือก บราแบบมีโครงช่วยประคองทรง และโครงต้องมีมีฐานทรงกว้างขึ้นเพื่อเก็บเนื้อ
เต้าทรงได้หมด

4.ทรงลูกแพร์ เต้าทรงเริ่มคล้อยมาก ฐานทรงกว้าง ต้องเลือกบราแบบมีโครงช่วยประคองทรง และเลือกแบบที่มี ฟังก์ชั่นช่วยเก็บเนื้อทรงด้านข้าง “รูปทรงสัปปะรด” เนื้อเต้าทรงมีมาก ทรงพุ่งชันมาก เลือกเสื้อในแบบ soft bra ไม่มีฟอง และมีโครงเพื่อช่วยประคองทรง

5.สาวอกไข่ดาว หรือ สาวที่มีเนื้อหน้าอกน้อย และไม่ค่อยมีความพุ่งชันของเนื้อหน้าอก ควรเลือกใส่เสื้อในที่เสริม ทรง โดยเสริมทั้งโครง เพื่อดันเนื้อใต้อกขึ้น และเสริมทั้งฟองน้ำ เพื่อเพิ่มความพุ่งชันของทรวงอก

6. สาวอกใหญ่ หรือ สาวที่มีเนื้อหน้าอกมาก และมีความพุ่งชันของหน้าอกมาก ซึ่งมักจะมีปัญหาตาม ก็คือความ หย่อนคล้อยของหน้าอก เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก ดังนั้นควรเลือกบราที่มีโครงช่วยประคองทรงไม่ให้หย่อ นคล้อยโครงต้องกว้างเพื่อรับกับฐานทรง และเก็บเนื้อด้านข้างได้หมดและเลือกเสื้อในที่มีความลึกของทรงพอสมควร เพื่อให้เวลาใส่แล้วเสื้อในไม่กดทรง อาจทำให้ทรงเสียรูปได้ อีกหนึ่งรูปทรงที่คนมีหน้าอกนิยมใส่ คือ เสื้อในแบบ Soft Bra คือไม่เสริมฟอง หรือแบบซีทรูทำให้ทรงดูไม่ใหญ่ขึ้นและไม่ดูเทอะทะและไม่อึดอัด


     รู้จักเลือกซื้อ “บรา” ให้ถูกไซส์ และเหมาะกับรูปทรงของหน้าอกคุณ คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ สักนิดก่อนตัดสินใจซื้อ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้คุณมี บุคลิกภาพที่ดี แถมยังช่วยให้หน้าอกหน้าใจของคุณยกกระชับได้รูป สวยเริ่ดไปอีกนานเลยค่ะ

    Tips
       - เลือกซื้อ “บรา” ทุกครั้ง ควรลองก่อนให้แน่ใจมากที่สุดว่าใส่แล้วสบายและพอดีกับหน้าอก เพราะถ้าไม่เลือกลองให้ดีอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว พลอยเสียบุคลิกเอาได้ง่ายๆ
       - การสวมใส่ “บรา” ในท่าที่ถูกต้อง ควรก้มลงแล้วสวมบรา เกี่ยวตะขอให้เสร็จเรียบร้อยก่อนยืดตัวตรงตามปกติ วิธีนี้จะช่วยเก็บทรงให้เข้ารูป ได้ดีที่สุดค่ะ







Monday, October 1, 2012

เมื่อหมอบอกว่าฉันมดลูกโต

คืนก่อนตอน 02:00 น.ฉันไม่ได้โอเวอร์อะไรหรอก เวลานี้เป้ะ ๆ ....(ชีวิตฉันมักจะเป็นอะไรที่เป้ะ ๆ กับเวลาโดยบังเอิญแบบนี้เสมอๆ)

02:00 น. ของเช้าวันเสาร์ที่ 29 กันยายน 2555 ฉันตื่นมาพร้อมกับอาการปวดท้อง อย่างมากๆ  จริงๆ แล้วฉันปวดมาแล้วหลายวัน  สาเหตุฉันมั่นใจเกิดจากการนวด และกดท้อง เมื่อวันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา

เพราะเชื่อแบบนี้ เมื่อปวดท้องมากฉันจึงทน และไม่ไปพบแพทย์ (ทั้งๆที่รู้ว่าควรจะไปหาหมอ)

แล้วจู่ๆ ก็มีเหตุให้ฉันต้องตัดสินใจ

ฉันฉี่เป็นเลือด เอ้ะ .... มันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นสักหน่อย เอาเป็นว่า....มีเลือดปนอกมากับฉี่ฉันด้วยละกัน

ฉันตัดสินใจนาทีนั้น ถึงเวลาที่ฉันต้องพบแพทย์ได้แล้ว อาการปวดท้องฉันคงไม่ได้เกิดจากน้ำหนักมือจากการนวดของยัยป้าหมอนวด(แผนไทย)นั่นแล้วหล่ะ

ฉันเตรียมเครื่องใช้ส่วนตัว (ชุดชั้นใน สบู่เหลว ยาสระผม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน) ฉันจัดเตรียมของส่วนตัวอย่างใจเย็น ฉันคิดว่า สักหกโมง ฉันจะปลุกหลานสาวไปเป็นเพื่อน ที่ โรงพยาบาล ฉันเกรงใจน้องสาว ไม่อยากรบกวนเขามาก (เขาทำงานหนักมากในแต่ละวัน ตื่นหกโมงเช้าเพื่อไปปิดร้าน และกลับเข้าบ้าน สองทุ่ม .... งานขายของนี่เป็นงานที่เหนื่อยมาก ใครไม่เป็นแม่ค้าไม่รู้หรอก )

จัดของเสร็จแล้ว ฉันนอนต่อไม่ได้ ลุกไปอาบน้ำ สระผม และ"ปลุกน้องสาว" ให้พาไปหาหมอ

ฉันไปหาหมอ ตีสาม

Wednesday, September 5, 2012

1.ระบบงานสวม(SYSTEM OF FIT)
ระบบงานสวมเป็นการประกอบชิ้นส่วน 2 ชิ้นเข้าด้วยกันระหว่างเพลากับรู้คว้านโดยมีค่าพิกัดต่างๆเป็นตัวกำหนด ดังรูป



รูปที่2.1 แสดงระบบงานสวมระหว่างเพลากับรูคว้าน

         1.1 จุดมุ่งหมายของระบบงานสวม  การผลิตชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องจักรกลที่ออกมาเป็นจำนวนมากๆเป็นการยากที่จะ ทำให้ชิ้นส่วนทุกชิ้นส่วนได้ขนาดเที่ยงตรงตามที่แบบกำหนดจึงมีความจำเป็น อย่างยิ่งต้องยอมให้มีขนาดที่ผิดพลาดได้ในช่วงที่กำหนด  ซึ่งขนาดที่ยอมให้ผิดพลาดได้นั้นเรียกว่า  พิกัดความเผื่อ ดังนั้นในระบบงานสวมชิ้นส่วนของเครื่องจักรกลพิกัดความเผื่อมีความจำเป็น อย่างยิ่งสามารถกำหนดค่าผิดพลาดได้ทั้งที่โตกว่าและค่าที่เล็กกว่าตามที่แบบ กำหนด(ค่าบวก  และค่าลบ)ดังรูป
รูปที่2.2  แสดงค่าพิกัดความเผื่อระบบงานสวม

2.พิกัดความเผื่อ(TOLERANCE)

      ในการผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกลต่างๆให้ได้ขนาดตามที่ต้องการโดยที่ขนาดของ ชิ้นส่วนไม่ผิดพลาดเลยนั้นช่างทุกคนไม่สามารถทำได้  ดังนั้นในการกำหนดขนาดลงในแบบบงานต้องกำหนดค่าสูงสุดและค่าขนาดที่ต่ำสุด และค่าขนาดของชิ้นงาน  ค่าขนาดที่ใช้งานจริงจะอยู่ในระหว่างค่าโตและค่าที่ต่ำสุดที่ยอมให้ได้  ผลต่างของค่าทั้งสองเรียกว่า  ค่าพิกัดความเผื่อ

          2.1 ความหมายระบบมาตรฐานของพิกัดความเผื่อ จะกำหนดค่าต่างๆดังรูป


รูปที่2.3 แสดงระบบมาตรฐานพิกัดความเผื่อ

         คำจำกัดความจากรูป 2.3
               2.1.1 ขนาดกำหนด (NORMINAL SIZE) คือ ขนดปกติของชิ้นงานที่วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง หรือขนาดชิ้นงานที่กำหนดลงแบบในงาน
               2.1.2 ค่าความเผื่อต่ำสุด (ALLOWANCE BELOW NORMINAL SIZE) ระยะที่วัดจากเส้นศูนย์ถึงเส้นต่ำสุด
               2.1.3 ค่าความเผื่อสูงสุด (ALLOWANCE ABOVE NORMINAL SIZE) ระยะวัดจากเส้นศูนย์ถึงเส้นสูงสุด
               2.1.4 พิกัดความเผื่อ (TOLERANCE) คือ ผลต่างระหว่างขนาดที่ยอมรับให้โตสุดกับขนาดเล็กสุด
               2.1.5 เส้นศูนย์ (ZERO LINE) คือ เส้นแสดงตำแหน่งของขนาดกำหนด


หมายเหตุ
          เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าการกำหนดค่าพิกัดความเผื่อนั้นควรจะกำหนดให้ มากเท่าที่จะมากได้ เพราะว่าถ้ากำหนดค่าพิกัดความเผื่อน้อยค่าจ้างในการผลิตตามไปด้วย เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือเครื่องจักรในการผลิตจะสูงตามไปด้วย ในการผลิตที่มีค่าความละเอียดสูง จำเป็นต้องระมัดระวังในกาผลิตมาก การที่ผลิตให้ได้ขนาดพอดีนั้นทำได้ยากมาก ดังนั้นวิศวกรต้องตัดสินใจว่าควรกำหนดค่าพิกัดความเผื่อสำหรับชิ้นส่วนนั้นๆ เท่าไร  โดยต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพและอายุการใช้งานด้วย

ข้อควรคำนึง
          ค่าพิกัดความเผื่อยิ่งน้อยเท่าใดก็จะต้องใช้ความระมัดระวังในการผลิตชิ้น ส่วนมากเท่านั้นและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงมากขึ้น  การกำหนดค่าพิกัดความเผื่อน้อยจะสิ้นเปลืองทุน  เวลาเครื่องจักร และพลังงานในการผลิตเกินความจำเป็น


          2.2 การกำหนดมาตรฐานของพิกัดความเผื่อ  มีดังต่อไปนี้
                ในการผลิตที่ประหยัด  ในการผลิตจำนวนมากๆและในการผลิตที่สามารถใช้ชิ้นส่วนแทนกันได้ จำเป็นต้องมีมาตรฐานของพิกัดความเผื่อขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการ คือขนาด และความละเอียของชิ้นงาน  และความละเอียดของชิ้นงาน  ด้วยเหตุที่ไม่สะดวกในการกำหนดพิกัดความเผื่อไว้สำหรับทุกๆขนาดของเส้นผ่า ศูนย์กลาง  ค่าของพิกัด ความเผื่อขึ้นอยู่กับขนาดกำหนดและจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อขนาดกำหนดนั้นเพิ่ม ขึ้น

                2.2.1 ตำแหน่งช่วงพิกัดความเผื่อของเพลา จะกำหนดค่าด้วยอักษรภาษาอังกฤษ ตัวพิมพ์เล็กตั้งแต่ a-z ดังรูป

รูปที่2.4 แสดงช่วงพิกัดความเผื่อเพลา

                2.2.2 ตำแหน่งช่วงพิกัดความเผื่อของรูคว้าน จะกำหนดค่าด้วยอักษรภาษาอังกฤษ ตัวพิมพ์ใหญ่ตั้งแต่ A-Z ดังรูป
 
รูปที่2.5 แสดงช่วงพิกัดเผื่อของรูคว้าน
2.3 ระดับความละเอียดของพิกัดของพิกัดความเผื่อ
               เป็นค่าของพิกัดความเผื่อซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดกำหนดของชิ้นงานและจะเพิ่มมาก ขึ้นเมื่อขนาดกำนดเพิ่มมากขึ้น  ระบบพิกัดความเผื่อแบ่งออกได้ 2 ระดับมาตรฐานของความละเอียด(IT 1 ถึง IT 18)ดังรูป
รูปที่ 2.6 แสดงระดับความละเอียดของพิกัดความเผื่อ
2.4 การกำหนดค่าพิกัดความเผื่อในแบบงาน
               ให้กำหนดค่าพิกัดความเผื่อของรูคว้านโดยกำหนดเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็กใต้มุมขวาของขนาดที่กำหนด  ดังรูป
รูปที่2.7 แสดงการกำหนดพิกัดความเผื่อลงในแบบงาน

3.ชนิดของงานสวม

         งานสวมที่ใช้กับชิ้นส่วนเครื่องจักรกลตามมาตรฐานมีอยู่  3  อย่าง  คือ  งานสวมคลอนงามวสวมพอดี และงานสวมอัด  ดังรูป
รูปที่2.8 เปรียบเทียบงานสวมแบบต่างๆ

          3.1 งานสวมคลอน คือ  เพลาจะเล็กกว่ารูคว้านเสมอ  ดังนั้นจึงมีระยะคลอนเกิดขึ้นทำให้เพลาสามารถหมุนได้เพลาสามารถหมุนได้อยู่ภายในรูคว้าน  ดัง
รูปที่ 2.9 ลักษณะงานสวมคลอน

          3.2  งานสวมพอดี คือ ขึ้นกับขนาดที่แท้จริงของชิ้นส่วนนั้นที่นำมาประกอบกันสามารถเป็นได้ทั้งงานสวมพอดี และงานสวมอัด  ดังรูป
รูปที่ 2.10 ลักษณะงานสวมพอดี

          3.3  งานสวมอัด คือ  เพลาจะใหญ่กว่ารูคว้านจึงจำเป็นต้องอัด หลังจากสวมอัดเข้าไปแล้วจะเกิดความเครียดขึ้นที่ผิวงานทั้งสอง  ดังรูป
รูปที่2.11 ลักษณะงานสามอัด

          3.4  ระยะอัดและระยะคลอน  ในระบบงานสวมจะกำหนดระยะอัดและระยะคลอนไว้เป็นค่ามากที่สุด  และค่าน้อยที่สุดเอาไว้ ดังรูป
รูปที่2.12แสดงการกำหนดระยะอัดมากสุด
รูปที่2.13 แสดงการกำหนดระยะอัดน้อยสุด
รูปที่2.14 แสดงการกำหนดระยะคลอนมากสุด
รูปที่ 2.15 แสดงการกำหนดระยะคลอนน้อยสุด


4. ระบบงานสวม

         ระบบงานสวมของชิ้นส่วนเครื่องจักรกลที่ใช้ประกอบเข้าด้วยกันจำเป็นต้องให้ ชิ้นส่วนชิ้นใดชิ้นหนึ่งเป็นหลักหรือเป็นค่าคงที่ไว้ก่อน  จากนั้นค่อยปรับชิ้นส่วนอีกชิ้นเพื่อให้สามารถสวมกันได้ จึงทำให้เกิดงานสวมขึ้นมา  2  อย่าง  คือ  งานสวมระบบรูคงที่  และงานสามารถระบบเพลาคงที่ดังนี้

          4.1 งานสวมระบบรูคว้านคงที่  งานสวมระบบนี้จะต้องกำหนดให้รูคว้านคงที่ ซึ่งรูคว้านมีพิกัดความเผื่อ H เมื่อสวมกับเพลาพิกัดความเผื่อจาก a ถึง h จะเป็นงานคลอน จาก j ถึง n จะเป็นงานสวมพอดี และจาก p ถึง z จะเป็นงานสวมอัด  ดังรูป

รูปที่2.16 งานส้วมระบบรุคว้านคงที่

          4.2  งานสวมระบบเพลาคงที่  งานสวมระบบนี้จะต้องกำหนดให้เพลาคงที่  ซึ่งเพลามีพิกัดความเผื่อ  h  เมื่อสวมรูคว้านพิกัดความเผื่อจาก A ถึง H  จะเป็นงานสวมคลอน จาก  J ถึง N จะเป็นงานสวมพอดี  และจาก P ถึง Z จะเป็นงานสวมอัด  ดัง

 
รูปที่2.17 งานสวมระบบเพลาคงที่

          4.3 ตัวอย่างงานสวมระบบรูคว้านคงที่  และระบบเพลาคงที่  จากตัวอย่างนี้ค่าพิกัดความเผื่อให้อ่านจากตารางมาตรฐานด้านหลัง
รูปที่2.17 งานสวมระบบเพลาคงที่

           4.4 ข้อดีและข้อเสียของงานสวมระบบรูคว้านคงที่  และเพลาคงที่  และเพลาที่  มีดังต่อไปนี้
         4.5 พิกัดความเผื่ออิสระ โดยทั่วไปการใช้พิกัดความเผื่อจะใช้กับงานที่ไม่มีการสอนประกอบ เช่น งานเชื่อม งานหล่อ งานรีด ค่าต่างๆ ดูได้จากตาราง
5. การนำค่าพิกัดความเผื่อไปใช้งาน

          การนำค่าพิกัดความเผื่อไปใช้งานดูได้จากตาราง
หมายเหตุ:รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านจากตารางมาตรฐาน

ทำการตลาดผ่าน Social Network อย่างมีทิศทาง





                                                        ภาพจาก : idaconcpts.com

     ปัจจุบันการเข้าถึงอินเทอร์เนตง่ายดายกว่าแต่ก่อนมาก มากเสียจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเราไปแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มคนในเมืองใหญ่ ดังนั้นองค์กร หรือบริษัทต่างๆ จึงมองเห็นข้อดีของการใช้อินเทอร์เนตเป็นช่องทางสื่อสารประชาสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าของตน เพราะนอกจากเป็นการลงทุนที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับสื่อด้านอื่น ยังเข้าถึงกลุ่มคนได้ง่ายและตลอดเวลาอีกด้วย แต่การใช้ Social Network ก็มีทั้งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ผู้ประกอบการจึงควรใช้ Social Network อย่างมีหลักการ เพื่อว่าการ Social Network จะส่งผลดีให้องค์กรและบริษัท มากกว่าจะเป็นการลดทอนภาพลักษณ์ และต่อไปนี้คือแนวทางง่ายๆ การใช้ Social Network ให้ถูกวิธี 

     ใช้ Social Network แสดงจุดแข็งของแบรนด์ 

     บางครั้งเราอาจมองว่าการอัพเดตข้อมูลข่าวสารบน Social Network เป็นประจำจะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ให้เข้ามาเป็นแฟนพันธุ์แท้ แต่การยัดเยียดข้อมูลมากเกินไปก็ไม่ได้ส่งผลดีนัก โดยเฉพาะเมื่อเราพยายามเกินไป การอัพเดตข้อมูลข่าวสารบน Social Network ควรทำแต่พอดี และที่สำคัญคือเนื้อหาควรมีประโยขน์และเกี่ยวข้องกับธุรกิจ หรือองค์กรด้วย ไม่ใช่เน้นแต่ปริมาณ โดยไม่ใส่ใจเรื่องเนื้อหา 

     ตัวอย่างเช่น หากเราทำกิจการร้านเสื้อผ้าก็ควรอัพเดตข้อมูลด้านแฟนชั่นและเทรนด์การแต่งตัวสม่ำเสมอ เพราะข้องเกี่ยวกับกิจการที่ต้องการประชาสัมพันธ์ และยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ให้แบรนด์อีกด้วย แต่หากเราลงเนื้อหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรือการแต่งบ้าน โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าผู้อ่าน หรืออาจหวังว่าจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเรารู้รอบด้าน แต่ผลที่ได้อาจกลับกันเลยทีเดียว เพราะอาจทำให้ผู้ติดตาม Social Network เกิดความสับสนว่าแท้จริงแล้วกิจการของเราเกี่ยวข้องกับสิ่งใดกันแน่ เพราะเนื้อหาข้อมูล ที่สื่อออกไปมีความหลากหลาย ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และไม่สื่อถึงจุดแข็งและจุดเด่นแบรนด์เลย ดังนั้นเลือกเรื่องที่เกี่ยวและช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ด้วยจะเป็นการดีกว่า

     การอัพเดตข้อมูลข่าวสารบน Social Network ควรทำแต่พอดี และที่สำคัญคือเนื้อหาควรมีประโยขน์และเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือองค์กรด้วย 



     เลือก Social Network ให้เหมาะกับองค์กร 

     หลายองค์กรเริ่มหันมาใช้ Social Network เพิ่มขึ้น เพราะอยากเข้าถึงทุกคนในวงกว้าง แต่ทำอย่างนั้นจะดีจริงหรือ บางครั้งการพยายามใช้ Social Network หมดทุกตัวก็ไม่ได้เปรียบเสมอไป เพราะ Social Network บางตัวอาจไม่สามารถตอบสนองได้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าของเรา เช่น Twitter ที่สามารถ tweet ข้อความได้เพียง 140 ตัวอักษร จึงไม่เหมาะกับการลงข้อมูลเยอะๆ พร้อมภาพประกอบหรือลิงก์ต่างๆ แต่อาจจะเหมาะกับการประกาศสั้นๆ แต่ได้ใจความ เช่น ข่าวสั้นหรือโปรโมชั่นประจำวันหรือ Social Network อย่าง Facebook ก็อาจไม่เหมาะในกรณีที่ลูกค้าของเราเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ได้ใช้งาน Facebook เป็นหลักอาจด้วยวัยหรือลักษณะการใช้ชีวิต ดังนั้น บางครั้งการใช้เพียงเว็บไซต์อย่างเดียวก็อาจเพียงพอแล้ว แต่ควรต้องออกแบบให้ใช้งานง่าย หาข้อมูลสะดวก และอัพเดตข้อมูลเป็นประจำสม่ำเสมอ 


                                                        ภาพจาก : socialmarcom.com

     ใช้ Social Network รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า

     การใช้ Social Network ทำการตลาดถือเป็นเป้าหมายหลักของผู้ประกอบการทั้งหลาย แต่บางครั้งการใช้ Social Network เพื่อทำการตลาดในเชิงเป็นสื่อโฆษณาเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ลูกค้าเบือนหน้าหนีเราก็ได้ ลองคิดดูว่าหากเราเป็นลูกค้า พอเปิด Facebook ขึ้นมาแล้วเห็นแต่โพสต์โฆษณาชวนเชื่อของบรรดา Fan Page ที่เรากด Like ไว้ เราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง อาจรู้สึกว่าโดนยัดเยียดให้อ่านโฆษณา หรือรู้สึกเหมือนว่าข้อความต่างๆ เหล่านั้นเป็น Spam เลยก็ได้ และอาจพานไม่ติดตาม Social Network นั้นๆ ต่อไปเลย ดังนั้น เราลองเปลี่ยนมาใช้ Social Network เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าบ้างดีกว่า โดยอาจจัดการเล่นเกมแจกของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ผ่าน Social Network หรืออาจลงเคล็บลับความรู้ต่างๆ ซึ่ง มีความเกี่ยวพันกับกิจการของเราบ้างก็ได้ นอกจากไม่ทำให้ลูกค้าเบื่อกับการโฆษณาต่างๆ แล้ว ยังทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกดีๆ กับแบรนด์ของเราไปในเวลาเดียวกันด้วย 

     แต่บางครั้งการใช้ Social Network เพื่อทำการตลาดในเชิงเป็นสื่อโฆษณาเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ลูกค้าเบือนหน้าหนีเราก็ได้

     • • • • • • • • • • • • 

     Social Network จะมีประโยชน์หรือโทษก็ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน ดังนั้นผู้ประกอบการควรเลือก Social Network และควรวางแผนการใช้งานให้ดี จำไว้ว่า Social Network ต่างๆ เป็นเพียงช่องทางการสื่อสารเท่านั้น เนื้อหาต่างๆ ที่สื่อออกไปต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมใช้ Social Network ให้ถูกวิธีอย่างมีหลักการและมีประสิทธิภาพ เพื่อการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้าอย่างเข้มแข็ง ไม่ใช่การทำลายภาพลักษณ์แบรนด์


ที่มา : INCquity
         incquity.com